นครพนม – ร้องมูลนิธิปวีณา อ้างพ่อเลี้ยงทุบลูกติดเมียวัย 7 ขวบน่วมทั้งตัว พ่อแท้โร่แจ้งความ ต่างฝ่ายแฉกันยับ แม่เด็กปัดผัวใหม่ตี รับหวดเพราะขโมยเงินไปให้ผัวเก่า
ในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้เรียกแม่เด็กมาสอบปากคำ รับว่าตนเป็นผู้ลงมือทุบตีลูกชายเพียงคนเดียว โดยใช้ไม้แขวนผ้าพลาสติกตีตามร่างกาย และใช้เท้าเตะจนเกิดรอยเขียวช้ำทั่วทั้งตัว ยืนยันสามีใหม่ไม่ได้เป็นผู้ทุบตี ส่วนสาเหตุที่ต้องลงมือตีลูกชายจนน่วม เพราะชอบขโมยเงินไปให้พ่อแท้ๆ และขณะนี้เด็กชายอยู่ในความดูแลของพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนครพนม(พม.ฯ) รอให้มีสภาพจิตใจดีกว่านี้ก็จะไปสอบปากคำต่อหน้าสหวิชาชีพ
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านนายธวัฒชัยหรือบ๊อบบี้ ที่เปิดเป็นร้านขายของชำตั้งอยู่ด้านหลังวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร มีนางเสถียร แท่นทอง อายุ 59 ปี อดีตแม่ย่าของ น.ส.หลินออกมาแฉพฤติกรรมของอดีตลูกสะใภ้ว่า หลังลูกชายคือนายบ๊อบบี้กลับมาจากไปทำงานขายแรงงานต่างประเทศ ก็ได้พบรักกับ น.ส.หลิน และอยู่กินกันโดยไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ กระทั่งคลอดน้องมีโอตนก็เลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ ตลอดเวลาที่อยู่กินฉันสามีภรรยานั้น น.ส.หลินมีนิสัยก้าวร้าวดุด่าทุกคน จากนั้นไม่นานก็หายออกจากบ้านไป พบอีกทีว่าหนีมาอยู่กับนายสุวัฒน์หรือแมน ซึ่งมีบ้านอยู่ไม่ไกลกันนัก ทั้งคู่จึงเลิกรากันโดยปริยาย โดยนายบ๊อบบี้ลูกชายยึดอาชีพเป็นช่างภาพรับจ้างถ่ายรูปให้กับผู้มากราบนมัสการพระธาตุพนม ส่วน น.ส.หลินกับนายแมนสามีใหม่ก็ขายลอตเตอรี่อยู่บริเวณใกล้เคียงกัน
ระหว่างนั้นก็มีนายอุทิศ มันทะ อายุ 55 ปี พ่อของ น.ส.หลิน และนางแสงเทียน มันทะ อายุ 50 ปี แม่เลี้ยงมาสมทบกับนางเสถียร โดยนายอุทิศเปิดเผยว่าลูกสาวเป็นคนก้าวร้าว ด่ากราดทุกคนไม่เว้นแม้แต่ตนก็โดนด่าเป็นสารพัดสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งนางแสงเทียนก็ยืนยันตรงกันว่าลูกเลี้ยงคนนี้ไม่มีสัมมาคารวะต่อผู้หลักผู้ใหญ่
ด้านนายธวัฒชัยหรือบ๊อบบี้พ่อของ ด.ช.มีโอ เปิดเผยว่าหลังแยกย้ายกับ น.ส.หลินแล้ว แม่เด็กก็เอาลูกไปเลี้ยงโดยไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ หากพบเห็นลูกยืนคุยกับญาติพี่น้องฝั่งตนจะถูกตีบ่อยครั้ง เคยขอเอาลูกกลับมาดูแลก็ได้รับการปฏิเสธ ก่อนเกิดเรื่องสลดมีคนที่มีบ้านอยู่ละแวกเดียวกับอดีตภรรยา มาบอกให้ไปดูลูกชายซึ่งขณะนี้นั่งขายลอตเตอรี่อยู่หน้าวัดพระธาตุพนมฯ ตามลำตัวมีแต่รอยเขียวช้ำ พอบอกให้แม่เด็กพาไป ร.พ. ก็ถูกตะคอกกลับมาว่าเสือกอะไรด้วย ตนจึงขับรถจักรยานยนต์ไปดูเห็นสภาพลูกชายแล้วรับไม่ได้กับเหตุการณ์เช่นนี้ จึงเรียกลูกขึ้นซ้อนท้ายรถพาไปพบแพทย์ โดยลูกบอกว่าถูกนายแมนพ่อเลี้ยงใช้คันเบ็ดและไม้แขวนผ้าตี บังคับให้ยอมรับว่าเป็นคนขโมยเงินมาให้ตน ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงตนไม่เคยสั่งสอนลูกไปลักเงินใครทั้งสิ้น จากนั้นก็ไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับพ่อเลี้ยงโหดรายนี้
ส่วนนางกัญญาภัคผู้ร้องเรียนไปยังมูลนิธิปวีณาทางออนไลน์เล่าว่า หลังเกิดเรื่องเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะนายแมนพ่อเลี้ยงมักใช้อาวุธปืนข่มขู่ จึงไม่มีใครกล้ายุ่ง เชื่อว่าหลานชายน่าจะถูกทำร้ายมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งครั้งนี้ถือว่าหนักที่สุด โดยระหว่างที่นางกัญญาภัคเล่าก็มีน้ำตาซึมออกมาตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังมีนายคิง (นามสมมุติ) อายุ 37 ปี เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดติดกันกับครอบครัวนี้ เล่าว่าในอดีตตนตลอดจนนายแมนและ น.ส.หลิน ต่างเคยต้องโทษเกี่ยวกับคดียาเสพติด ประมาณปี 2557 นายแมนขาดเงินประกันตัว 2 หมื่นบาท มาขอยืมเงินตนไป ตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ก็เฉยเมย ซึ่งทั้งสองมีนิสัยก้าวร้าวชอบข่มขู่ เคยถือปืนมาไล่ยิงนายบ๊อบบี้มาแล้ว
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ติดต่อกับ น.ส.สุดารัตน์ มันทะ หรือ น.ส.หลิน ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่ใจยักษ์ ก็ได้เปิดอกพูดอย่างหมดเปลือกว่า ฝั่งตรงข้ามอย่าเอาดีใส่ตัว ยอมรับว่าลงมือทำร้ายลูกชายรุนแรงจริง รับไม่ได้ที่ขโมยเงินไปให้พ่อแท้ๆ ที่รู้เพราะลูกบอกเองว่าพ่อให้มาขโมยเงิน ส่วนที่ถูกนายอุทิศพ่อของตนกล่าวหาในทางเสียหาย เพราะเกิดจากแม่เลี้ยงที่เคยขโมยสร้อยคอไปขาย เมื่อถูกจับได้ก็ยุให้พ่อมาหาเรื่อง ถึงขั้นตบหน้าลูกสาวโชว์แม่เลี้ยง และตัดขาดความเป็นพ่อลูกกัน ส่วนที่กล่าวหาว่าตนห้ามลูกไปหาฝ่ายอดีตสามีก็ไม่เป็นความจริง
“อยากจะถามทุกคนว่า ใครกันแน่ที่เอาลูกมาปล่อยไว้ที่หน้าบ้าน แล้วตะโกนบอกว่ามึงมาเอาลูกของมึงไป เด็กตอนนั้นอายุแค่ 3 ขวบ พ่อแท้ๆ มาปล่อยทิ้งอยู่ริมถนนแล้วขับรถหนี หนูบอกสามีใหม่ว่าถ้ารักหนูก็ต้องรักลูกหนูด้วย เขาก็เลี้ยงดูมาตลอด ถึงตอนนี้อยากจะเอาลูกไปเลี้ยงเอง ตนจะไม่ยอมเด็ดขาดเป็นไงก็เป็นกัน” น.ส.หลินพูดพร้อมกับหลั่งน้ำตาไปด้วย
ส่วนนายสุวัฒน์หรือแมนพ่อเลี้ยงได้รับคำตอบจาก น.ส.หลินว่าตอนนี้ป่วยเป็นโรคไตระยะที่ 5 ต้องเข้ารับการฟอกไต และมีความรักผูกพันกับน้องมีโอลูกชาย พร้อมกับโชว์รูปหน้าจอมือถือที่มีน้องมีโอกอดกับนายแมนสามีใหม่ และกล่าวว่าภาพแบบนี้กับพ่อแท้ๆ เขาไม่เคยมีหรอก
ที่มา : https://www.77kaoded.com/