เมาไม่เบรก! ซิ่งปิกอัพฝ่าแยก ชนทะลุบ้านเก่า 100 ปี

0
1,231 views

สุดระทึก หนุ่มเมาซิ่งกระบะ ฝ่าแยกหอนาฬิกาเทศบาลเมืองนครพนม ชนทะลุบ้านเก่าอายุ 100 ปี อยู่ตั้งแต่สมัยสงครามฝรั่งเศสพังยับ ยังดีที่ไม่ทะลุไปถึงห้องนอนที่คนในบ้านอยู่

 เมื่อวันที่ 10 ต.ค.61 ร.ต.ท.เจริญพร รินทะระ รองสารวัตรสอบสวน สภ.เมืองนครพนม พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ กรณีเกิดอุบัติเหตุรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นพีรันเนอร์ 4 ประตู สีเทา ทะเบียน กข 2189 บึงกาฬ พุ่งชนบ้านเลขที่ 213/215 ถนนสุนทรวิจิตร บริเวณสามแยกหอนาฬิกา ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม เหตุเกิดเมื่อเวลา 02.12 น.

เหตุดังกล่าวทำให้บ้านเรือนของชาวบ้านซึ่งเป็นบ้านเรือนแบบห้องแถวโบราณชั้นเดียว อายุเก่าแก่ประมาณ 100 ปี ก่อสร้างในยุคที่ได้รับอิทธิพลของฝรั่งเศส ได้รับความเสียหาย ผนังบ้านที่ก่อด้วยอิฐ รวมถึงคานบ้านบางจุดแตกร้าว ทราบชื่อเจ้าของบ้านภายหลังคือ นางวันเพ็ญ แซ่เฮง วัย 67 ปี ส่วนรถยนต์คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้นำไปเก็บรักษาไว้ที่ สภ.เมือง จ.นครพนม หลังเกิดเหตุ ทราบชื่อคนขับคือ นายสุธิชัย อินทะ อายุ 23 ปี ชาว ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย

จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ และภาพจากกล้องวงจรปิดของชาวบ้าน  พบหลักฐานรถยนต์คันดังกล่าวได้วิ่งมาด้วยความเร็วสูงจากตัวเมืองมุ่งหน้ามาตามถนนเฟื่องนคร ถึงจุดเกิดเหตุบริเวณสามแยกหอนาฬิกาติดกับถนนสุนทรวิจิตร เลียบแม่น้ำโขง แต่รถยนต์ไม่ได้เบรกชะลอความเร็ว ส่งผลให้พุ่งชนเข้าบ้านผู้เสียหายอย่างแรง เป็นเหตุให้บ้านเรือนและสิ่งของในบ้านได้รับความเสียหาย คาดว่ามีมูลค่าความเสียหายประมาณ 1 แสนบาท โชคดีเจ้าของบ้านที่นอนอยู่ในบ้านและลูกอีก 3 คนไม่ได้รับอันตราย เนื่องจากรถพุ่งเข้าไปไม่ถึงจุดห้องนอน แต่ก็สร้างความหวาดผวาให้กับเจ้าของบ้านเป็นอย่างมาก

หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวคนขับคือ นายสุธิชัย อินทะ อายุ 23 ปี ไปสอบสวน และตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ พบมีปริมาณเกิดกฎหมายกำหนด เป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุจากอาการเมาสุรา บวกกับไม่ชำนาญในเส้นทาง เพราะเป็นคนต่างจังหวัด หลังไปเที่ยวดื่มเหล้าจนเมาขาดสติในการขับรถ จึงได้ดำเนินคดีในข้อหาเมาแล้วขับเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย

ขณะเดียวกันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ฝากแจ้งเตือนประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนให้ระมัดระวัง ไม่ควรขับรถความเร็วเกินกฎหมายกำหนด เมาห้ามขับ เพราะเป็นต้นเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุ ส่งผลให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินตามมา นอกจากนี้จะต้องถูกดำเนินคดี อาจถึงขั้นติดคุก.

ที่มา : https://www.thairath.co.th

แสดงความเห็น

comments