นัดสืบพยานคดีบริษัทเกษตรปิยมิตรฟ้องผู้ใหญ่บ้าน ก่อนถูกฟ้องกลับ เข้มข้น หลังประธานคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61

0
710 views

นครพนม – นัดสืบพยานคดีบริษัทเกษตรปิยมิตรฟ้องผู้ใหญ่บ้าน ก่อนถูกฟ้องกลับ เข้มข้น หลังประธานคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 เบิกความยืนยันมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน 14 แปลงและ น.ส.3ก อีก 31 แปลง รอเพียงเสนอต่ออธิบดีกรมที่ดินลงนามเห็นชอบเท่านั้น

 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2563 ที่ศาลจังหวัดนครพนม นายชัยนันท์ กั้นชัยภูมิ ประธานคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ได้ขึ้นเบิกความต่อศาลในฐานะพยานจำเลย คือนายพันธ์ ชมภูพระ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 บ้านห้วยพระ ต.ท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จังหวัดนครพนมจำเลยที่ 3 ในคดีนี้ ที่ถูกบริษัทเกษตรปิยะมิตร ฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับนายวรลภย์ ศรีบุญเรือง นายก อบต.ท่าจำปา นายเตียง ชมภูพระ สมาชิก อบต.ท่าจำปา และนายภูมิศักดิ์ ขำปู่ นายอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ในความแพ่งเหตุพิพาทในที่ดินสาธารณะ โดยเรียกค่าเสียหายด้วยเป็นเงิน 5 แสนบาท โดยสาเหตุเกิดจากการที่บริษัทเกษตรปิยะมิตร ได้ขอรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดของตนเองจำนวน 16 แปลง และถูกนายพันธ์ ชมภูพระ ผู้ใหญ่บ้านห้วยพระหมู่ 9 ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากนายอำเภอท่าอุเทนให้ไปคอยระวังและชี้แนวเขตที่ดินสาธารณะที่มีเขตติดต่อกับที่ดินทั้ง 16 แปลงของบริษัทเกษตรปิยะมิตร คัดค้านแนวเขตว่าแนวเขตที่ดินของบริษัทรุกล้ำเข้าไปในห้วยหนองคลองบึงและทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ จนไม่อาจตกลงกันได้ทางบริษัทจึงนำเรื่องดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลจังหวัดนครพนมเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ที่ดินทั้งหมดตามโฉนดเป็นของบริษัทฯทั้งแปลงพร้อมเรียกค่าเสียหายอีกเป็นเงิน 5 แสนบาท โดยนายพันธ์ ชมภูพระ ได้ต่อสู้คดีว่าที่ดินทั้งหมด 16 แปลงที่ทางบริษัทฯ ขอรังวัดสอบเขตบางส่วนออกทับที่สาธารณะห้วยหลงห้วยบ่อ ห้วยอะกองห้วยจ่องล่อง และหนองข้าพร้อมฟ้องแย้งกลับว่าโฉนดที่ดินของบริษัทฯ ทั้ง16 แปลง ออกโดยมีชอบเนื่องจากเป็นการออกสืบเนื่องจากการออกใบจองที่ไม่ชอบขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนให้โฉนดทั้งหมดกลับมาเป็นที่สาธารณะ ต่อมาบริษัทฯ ได้ขอถอนฟ้องคดีที่ฟ้องจำเลยทั้งสี่ ศาลจึงอนุญาตให้ถอนฟ้องคดีได้ แต่เนื่องจากนายพันธ์ ชมภูพระได้ทำการฟ้องแย้งไว้ จึงคงประเด็นฟ้องแย้งของนายพันธ์ ชมภูพระไว้พิจารณาและนัดสืบพยานทันทีเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม2563

โดยพยานปากแรกคือนายเรืองชัย วงษ์อุระ อาสาสมัครคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพภาคประชาชนจังหวัดนครพนม ได้ขึ้นเบิกความเป็นพยานฝ่ายจำเลย โดยให้การสรุปได้ว่า ตัวนายเรืองชัย ได้ติดตามปัญหาที่ดินที่บ้านห้วยหระมาตั้งแต่ต้นที่มีการร้องเรียนของชาวบ้านและได้พาชาวบ้านที่เดือดร้อนไปยื่นหนังสือร้องเรียนตามหน่ายงานต่าง ๆ จนกระทั่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องร้องเรียนและลงพื้นที่บ้านห้วยพระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ภายหลังมีความเห็นของกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าใบจองที่นำมาใช้ออก น.ส. 3 ก ต่อเนื่องไปถึงการออกโฉนดที่ทางบริษัทเกษตรปิยะมิตรครอบครองน่าจะออกโดยมิชอบจึงส่งเรื่องให้กรมที่ดินตรวจสอบการออกใบจองทั้งหมดที่มีการออกเมื่อปี 2532 ต่อมาเมื่อบริษัทเกษตรปิยะมิตร ได้ยื่นขอรังวัดสอบเขตที่ดินเพื่อให้ทราบขอบเขตที่ดินตามโฉนดที่ตนเองถืออยู่ ก็ปรากฏหลักฐานชัดเจนขึ้นมาทันที่ว่ามีการออกโฉนดที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่สาธารณะจริงดังปรากฏตามแผนที่คัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ช่างรังวัดได้สรุปมา ขณะเดียวกันกรมที่ดินก็มีหนังสือแต่งตั้งคณะกรรการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินให้พิจารณาสอบสวนเพื่อเพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากเป็นโฉนดที่ดินและนส.3ก ซึ่งออกสืบเนื่องจากใบจองที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องใบจองเหล่านั้นออกโดยฝ่าฝืนต่อมาตรา 33 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน และระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน พ.ศ. 2498 ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เสนอเรื่องต่อ อธิบดีกรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดินของบริษัทเกษตรปิยะมิตรจำนวน 14แปลงและ นส.3ก. อีก 31 แปลง จึงยืนยันข้อเท็จจริงได้ว่าโฉนดที่ดินของบริษัทฯออกโดยมิชอบตามความเห็นของคณะกรรมการสออบสวนแล้วยังเหลือเพียงขั้นตอนการเสนอมติดังกล่าวต่ออธิบดีกรมที่ดินเท่านั้น

โดยทนายโจทก์ ได้ถามค้านว่าขณะนี้มติของคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 ได้เป็นแต่เพียงมติเท่านั้นข้อเท็จจริงยังไม่ได้มีการเพิกถอนโฉนดที่ดินของบริษัทฯ แต่อย่างใด

ต่อมานายชัยนันท์ กั้นชัยภูมิ ได้ขึ้นเบิกความเป็นพยานจำเลย คนที่สอง โดยนายชัยนันท์ ให้การยืนยันว่าตนเองในฐานะประธานคณะกรรมการตามความในมาตรา 61 ได้มีมติที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ไปแล้วเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 และขั้นตอนต่อไปหลังจากนั้นฝ่ายเลขานุการก็จะต้องทำสรุปมติของคณะกรรมการเพื่อให้กรรมการทั้งหมดลงชื่อเพื่อเสนอต่ออธิบดีกรมที่ดินพิจารณาสั่งการต่อไปซึ่งขั้นตอนดังกล่าวน่าจะใช้เวลาไม่เกินวันที่ 25 เมษายน 2563 เนื่องจากครบกำหนดกรอบเวลาการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้ แต่เวลาล่วงเลยมามาจนถึงขณะนี้จะสี่เดือนแล้วทางฝ่ายเลขานุการคือนายศิริสานนท์ กุลฉวะ นอกจากจะไม่ทำหนังสือสรุปมติการประชุมเพื่อเสนออธิบดีกรมที่ดินเพื่อสั่งการแล้วยังได้ทำหนังสือ ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2563 ถึงตนเพื่อขอให้ทบทวนหรือรับรองรายงานการประชุมของคณะกรรมการ ซึ่งตนขอยืนยันว่าการที่จะเปลี่ยนแปลงมติคณะกรรมการไม่อาจทำได้แล้วเนื่องจากไม่มีกฎหมายหรือระเบียบอะไรมารองรับมีทางเดียวที่นายศิริสานนท์ ในฐานะเลขานุการจะทำได้คือรีบนำมติของคณะกรรมการเสนอต่ออธิบดีกรมที่ดินเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไปเท่านั้น

โดยในการสืบพยานจำเลย ทนายจำเลยแถลงว่า ยังคงเหลือพยานอีกหนึ่งปากคือนายพงษ์ภาณุ พิมลภัทรกุล อดีตเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครพนม ซึ่งได้ออกหมายเรียกแล้วแต่พยานไม่มาในวันนี้ จึงขอศาลออกหมายเรียกอีกครั้ง พร้อมนัดสืบพยานต่อในวันที่ 7 ตุลาคม 2563

ล่าสุดหลังการสืบพยานในวันนี้เสร็จ นายพันธ์ ชมภูพระ ผู้ใหญ่บ้านบ้านห้วยพระหมู่ 9 เปิดเผยว่ารู้สึกพอใจกับคำให้การของพยานจำเลย โดยวันนี้ก็มีชาวบ้านห้วยพระเดินทางมาติดตามการสืบพยานในคดีนี้ประมาณ 50 คน ซึ่งหลังจากทราบจากตนว่าทางกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 ยังไม่ได้นำมติของที่ประชุมคณะกรรมการฯเสนอต่ออธิบดีกรมที่ดินเพื่อพิจารณาเลย ทั้ง ๆ ที่เวลาได้ล่วงเลยมาเกือบสี่เดือนนับจากวันที่คณะกรรมการได้ลงมติแล้ว สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านห้วยพระเป็นอย่างมาก จึงจะนัดรวมตัวเดินทางมาพบกับนายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมเพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนพฤติกรรมของนาย ศิริสานนท์ กุลฉวะ ซึ่งขณะนี้ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครพนมสาขาท่าอุเทน ที่จงใจแตะถ่วงไม่ยอมยื่นเสนอมติของคณะกรรมการตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินต่ออธิบดีกรมที่ดินตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งเข้าข่ายการความผิดตามมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ในวันจันทร์ที่จะถึงนี้อย่างแน่นอน

ที่มา : https://www.77kaoded.com

แสดงความเห็น

comments