เมื่อคราวสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจราชการมณฑลอุดรและมณฑลอีสาน ในปี พ.ศ.2449 ทรงกล่าวถึงเมืองเรณูนคร ตอนหนึ่งว่า “…ถึงเมืองเรณูนครเวลาเช้า 2 โมง 20 นาที มีราษฎรชายหญิงมารับเป็นอันมาก เมืองเรณูนครนี้เดิมชื่อบ้านดงหวาย ตั้งเป็นเมืองขึ้นเมืองนครพนมรัชกาลที่ 3 สังเกตดูผู้คนแต่งตัวสะอาดเรียบร้อยดีกว่าทุกแห่งที่ได้ผ่านมาแล้ว พลเมืองเป็นผู้ไทยโดยมาก มีจำนวน 11,968…”
ชาวผู้ไทยในเรณูนครนั้นมีประวัติเล่าว่า เดิมมีถิ่นฐานอยู่ที่เมืองแถงและเมืองไถ ทางแคว้นสิบสองจุไทย แต่ถูกพวกเมืองหลวงพระบาง จีน และญวน รุกกราน จึงพากันอพยพมาที่เมือง “น้ำน้อยอ้อยหนู” มีท้าวก่าเป็นหัวหน้า ต่อมาอพยพไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองวังเว หรือเมืองวัง ซึ่งมีพวกข่าปกครองอยู่ก่อน จึงต้องแข่งขันยิงธนู ว่าฝ่ายใดยิงธนูไปติดหน้าผาหินได้จะเป็นฝ่ายได้ปกครองเมืองวัง ฝ่ายผู้ไทยฉลาดกว่า นำเอาขี้สูด (ชันมะโรง) ติดใส่หัวธนู จึงทำให้พวกผู้ไทยเป็นฝ่ายชนะ มีท้าวก่าเป็นผู้ปกครองเมือง ต่อมาท้าวก่าตาย พระยาเตโชจึงได้ปกครองแทน
พ.ศ.2369 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 พระเจ้าอนุรุทธกุมาร (เจ้าอนุวงศ์) เวียงจันทน์ เป็นกบฏ รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยกกำลังไปปราบ แล้วกวาดต้อนกลุ่มชนเผ่าต่างๆ รวมถึงชาวผู้ไทย เข้ามาฝั่งขวาแม่น้ำโขงหลายคราว
ครั้งสำคัญเมื่อ พ.ศ.2384 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกกองทัพหัวเมืองไปตีเมืองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง รวมถึงเมืองวังด้วย ท้าวเพชร ท้าวสาย ท้าวไพ บุตรพระยาเตโช นำชาวผู้ไทยอพยพจากเมืองวัง ข้ามแม่น้ำโขงมาขึ้นฝั่งสยาม พักที่ค่าย “โพธิ์สามต้น” (ปัจจุบันคือบ้านพระกลางทุ่ง ต.พระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม) ต่อมาได้ไปนมัสการถามเจ้าอาวาสพระธาตุพนมถึงที่ตั้งหมู่บ้านใหม่ จึงได้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่หนองหวาย ซึ่งมีห้วยบ่อแกไหลผ่าน ให้ชื่อหมู่บ้านนั้นว่า “บ้านดงหวาย สายบ่อแก” ต่อมาชาวผู้ไทยได้อพยพมาจากเมืองวังมาสมทบเพิ่มขึ้นอีก เรียกกันว่า “บ้านเมืองเว”
ในพ.ศ.2387 รัชกาลที่ 3 จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ยกบ้านดงหวาย (บุ่งหวาย) ขึ้นเป็นเมือง “เรณูนคร” (หมายถึง เมืองแห่งมวลเกสรดอกไม้) และใช้ชื่อนี้มาจนปัจจุบัน
เรณูนคร จึงเป็นถิ่นของชาวผู้ไทยที่เข้ามาผสมผสานตั้งรกราก ส่วนหนึ่งของสยามอีกกลุ่มหนึ่ง
เรือนอินทร์ หน้าพระลาน
ที่มา : http://www.komchadluek.net/detail/20100920/73802/“ผู้ไทย”ในเรณูนคร.html