ต้องเท้าความไปเมื่อเดือน ก.พ.60 จู่ๆ นายพิสิษฐ์ หรือแดง สุวรรณพิมพ์ อายุ 50 ปี พ่อค้าไก่ย่าง ถูก ชุดสืบสวน สน.บางเสาธง ตามไปจับถึงบ้าน ใน จ.นครพนม ตามหมายจับข้อหาวิ่งราวเพชรมูลค่ากว่า 15.8 ล้านบาท เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.59
ทำเอาตัวเองและครอบครัวลูกเมียถึงกับช็อก!
เจ้าตัวปฏิเสธเสียงหลงมาตั้งแต่แรก ยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์ อ้างหลักฐานที่อยู่วันเกิดเหตุว่าไม่ได้ไปกรุงเทพฯ แต่อยู่ใน จ.นครพนม มีหลักฐานวันเวลาเกิดเหตุเข้ารักษาตัวที่คลินิกแห่งหนึ่งด้วย
แต่ชุดสืบสวนอ้างหลักฐานสำเนาบัตรประชาชนที่เอาไปเปิดเบอร์โทรศัพท์ที่คนร้ายใช้ติดต่อซื้อขายเพชรกับผู้เสียหาย แม้ว่าหลังจากนำภาพ นายพิสิษฐ์ ไปให้พยานดู บางคนแบ่งรับแบ่งสู้ แต่หลายคนที่ยืนยันว่าไม่ใช่ผู้ต้องหา
แต่ตำรวจ สน.บางเสาธง ยังกระต่ายขาเดียวทำสำนวนส่งฟ้องได้?
หลังถูกจับติดคุก ครอบครัวนายพิสิษฐ์ยังเชื่อในความบริสุทธิ์ ร้องแรกแหกกระเชอไปหลายหน่วยงาน รวมถึงกระทรวงยุติธรรม
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงเข้ามาช่วยตรวจสอบพยานหลักฐานพบว่า หลักฐานตำรวจมีอ่อนมาก แถมมีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด
ไม่แปลกใจที่ต่อมาศาลอาญาธนบุรีสั่งยกฟ้อง เพราะพยานหลักฐานของตำรวจมีตำหนิมากมาย?
หลังคดีถึงที่สุด ถึงคราวที่แพะรับบาปรายนี้ทวงความยุติธรรมให้กับตัวเอง บุกเข้าแจ้งความร้องทุกข์ ตำรวจกองปราบปรามดำเนินคดีกับ บริษัท กาแล็คซี่ ไดมอนด์ จำกัด น.ส.บุญญรัตน์ รัศมีสุขานนท์ และ ตำรวจ สน.บางเสาธง ข้อหาแจ้งความเท็จจนได้รับโทษทางคดีอาญา และเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ทำให้ต้องเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำฟรีๆถึง 7 เดือน 10 วัน!
เรื่องราวทั้งหมดอยากให้มองเป็นบทเรียน เพราะงานตำรวจเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม
การสืบสวนสอบสวนคดีต้องละเอียดรอบคอบทุกแง่มุม ตรวจสอบทั้งคำให้การผู้เสียหายและผู้ต้องหา
ไม่ใช่ปล่อยให้ข้อสงสัยค้างคาอยู่ สุดท้ายต้องมาแก้ต่างการปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง?
“สหบาท”
ที่มา : https://www.thairath.co.th